มันหวานญี่ปุ่น
มันหวานญี่ปุ่นสายพันธุ์ เบนิฮารูกะ
(Beni Haruka)
มันหวานญี่ปุ่นสายพันธุ์ ซิล
(Silk Sweet)


Imoking . . . อิโมะคิง
เรากล้าการันตี ว่าเป็นเจ้าแรกที่นำมันมันหวานญี่ปุ่นมาสู่ตลาดเมืองไทยโดยการ นำเข้ามันหวานญี่ปุ่น 100% จากประเทศญี่ปุ่น สายพันธ์ุ เบนิฮารูกะ (Beni Haruka) มันหวานญี่ปุ่นสายพันธุ์ ซิล สวีท (Silk Sweet)
แล้วทำไมถึงบอกว่า มันหวานญี่ปุ่น ต้องนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นด้วย....แน่นอนเมื่อของดี ชื่อดัง ย่อมมีผู้คนสนใจมาก จึงมีมันหวานญี่ปุ่น สายพันธุ์เบนิฮารูกะ (Beni Haruka) ที่ไม่ได้ปลูกที่ประเทศญี่ปุ่น เกิดขึ้นอย่างมากมาย เช่น ปลูกที่ ประเทศเวียดนาม หรือ แม้แต่ในประเทศไทยเป็นต้น ซึ่งแน่นอนความแตกต่างในเรื่องคุณภาพของมันหวานญี่ปุ่นแต่ละหัวย่อมไม่เท่ากัน
มันหวานญี่ปุ่นสายพันธุ์เบนิฮารูกะ (Beni Haruka) จาก เมืองอิบารากิ (Ibaraki) เนื่องด้วยเมืองอิบารากิ มีภูมิประเทศเหมาะแก่การปลูกมันและเป็นผลผลิตขึ้นชื่อของจังหวัดและประเทศญี่ปุ่น Imoking ได้คัดเลือกมันวานญี่ปุ่นสายพันธุ์ที่ดีที่สุดจากแหล่งผลิตที่ดีที่สุดมาให้แก่ผู้บริโภคแล้ว
วิธีการเก็บเกี่ยวมันหวานญี่ปุ่น
คือประเทศญี่ปุ่นเรารู้ดีกันว่าใส่ใจในรายระเอียดในทุกๆ เรื่องซึ่งมีจุดเด่นคือ มันหวานญี่ปุ่นใน "จังหวัดอิบารากิ“ ใช้เทคโนโลยีในการเก็บเกี่ยวที่ล้ำสมัย ซึ่งช่วยให้สามารถจัดส่งมันหวานญี่ปุ่นที่มีคุณภาพ และความสดใหม่มาให้แก่ลูกค้าทั่วโลกได้แต่จะมีข้อจำกัดของระยะเวลาการเก็บเกี่ยวมันหวานญี่ปุ่นในช่วงต้นฤดู มีระยะเวลาเพียง 2 เดือนนี้เท่านั้น ถึงจะได้
มันหวานญี่ปุ่น ที่มีคุณภาพสูงที่สุด
วิธีการเก็บรักษาหวานมันญี่ปุ่น
ทาง Imoking เก็บหัวมันหวานญี่ปุ่นด้วยตู้รักษาความเย็นชนิดพิเศษ ที่ อุณหภูมิ น้อยกว่า 12 องศา หรือขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมจริงมั่นใจได้ว่ามันหวานญี่ปุ่น ของทาง Imoking เป็นมันหวานญี่ปุ่นที่คัดเกรดพรีเมี่ยมและเก็บรักษาด้วยกระบวนการที่ได้มาตรฐาน มันหวานญี่ปุ่น จะมีความสดใหม่ตลอดเวลาเมื่อถึงมือผู้บริโภค
ทำไมต้องเป็นมันหวานญี่ปุ่นชนิดนี้ แตกต่างจากมันหวานญี่ปุ่นพันธ์ุอื่นอย่างไร
มันหวานญี่ปุ่น เบนิ ฮารูกะ จะมีรสชาติหวานฉ่ำ กว่ามันญี่ปุ่นชนิดอื่นๆ ทั่วไป และมีสารอาหารหลากหลายชนิด เช่น
วิตามิน ซี เอ และ อี สามารถทานเพื่อลดความอ้วนได้ แคลอรี่ต่ำ โพแทสเซี่ยมสูง ทำให้เราทานน้อยแต่อิ่มไวและยังมีค่าปริมาณ GI (Glycemic Index : GI) หรือ ค่าดัชนีน้ำตาล เป็นตัวเลขที่บอกถึงความเร็วของสารอาหารหลังรับประทานจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ช้าหรือเร็ว เปรียบเทียบกับน้ำตาลกลูโคสที่ดูดซึมได้เร็วที่สุด
(มีค่า GI = 100) โดยอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง (ค่า GI มากกว่า 70) หลังรับประทานจะถูกย่อยและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้เร็ว ทำให้ร่างกายต้องผลิตอินซูลินออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าหากรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงเป็นประจำ จะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin Resistance) และสามารถเกิดโรคเบาหวานได้ในอนาคต มันหวานญี่ปุ่นสายพันธุ์ เบนิ ฮารูกะ ของ ทาง Imoking มีค่า GI อยู่ที่ประมาณ 60 ถึงแม้จะมีรสชาติที่หวานแบบโดดเด่นมากก็ตาม ทำให้ผู้บริโภคทานแล้วอยู่ท้อง เป็นที่นิยมมาก ในกลุ่มคน Healthy หรือคนที่กำลังลดน้ำหนัก

คำถาม มันหวานญี่ปุ่น
1.มันหวานญี่ปุ่น คือ อะไร
มันหวานญี่ปุ่น คือ มันหวานพันธุ์ญี่ปุ่น ที่ปลูกด้วยวิธีธรรมชาติในประเทศญี่ปุ่น มีรสชาติหวานฉ่ำเนื้อเนียนละเอียดและนุ่มละมุน เปลือกข้างนอกของมันหวานญี่ปุ่นจะมีสีม่วงเนื้อข้างในสีเหลือง มีเอกลักษณ์ที่ความหวานฉ่ำจากธรรมชาติ และเนื้อมันที่มีความนุ่มหนึบ
2.ทำไมต้องทานมันหวานญี่ปุ่น
เพราะมันหวานญี่ปุ่นเป็นอาหาร ออร์แกนิก และมีประโยชน์ต่อร่างกาย มีโปรตีนและวิตามิน มีไฟเบอร์ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ และเป็นสินค้านำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นโดยตรง
6 ประโยชน์ละมุนๆ ของมันหวานญี่ปุ่น
ถ้าพูดถึงมันเทศแล้ว มันหวานญี่ปุ่น ก็จะเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่นึกขึ้นมาในหัวของหลายๆ คนใช่ไหมคะ? เพราะความพิเศษของมันหวานญี่ปุ่นที่มีความหวาน หอม เนื้อนุ่มละมุนลิ้นแล้ว มันหวานญี่ปุ่นสามารถกินได้โดยที่ไม่ต้องผ่านการปรุง เพียงแค่นึ่งให้สุก ก็ให้ความอร่อยโดยมีรสชาติเฉพาะตัว แต่เพื่อนๆ รู้กันหรือเปล่าคะว่านอกจากมันญี่ปุ่นจะอร่อยแล้ว ก็ยังมีประโยชน์มากมายอย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ
When it comes to potato, sweet Japanese potato definitely makes the top list of many people due to its sweetness, unique scent and soft texture. Simply steam it and you can enjoy the deliciously distinctive flavor.
1. รสหวาน แต่ดัชนีน้ำตาลต่ำ Sweet but low on GI
มันหวานญี่ปุ่นเป็นแหล่งของหวานชั้นดี เพราะมีรสหวานกว่ามันชนิดอื่นๆ แต่ความดีงามอยู่ที่ดัชนีน้ำตาลที่ต่ำ เพราะหลังจากที่ร่างกายเราย่อยและดูดซึมสารอาหารเข้าไปแล้ว น้ำตาลจะไม่ถูกดูดซึมเข้าเส้นเลือดเราได้มากเท่ากับอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง มันญี่ปุ่นจึงเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวานด้วยค่ะ
Sweet Japanese potato is a fantastic source of natural sweetener as it tastes sweeter than other kinds of potatoes. Another great thing is that it is low on glycemic index. After our body digests food and absorbs the nutrients, the sugar will not be absorbed into our blood system as much as foods with a high glycemic index value. The Japanese potato, therefore, is perfect for diabetic patients.
2. ไฟเบอร์สูง กระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร High in fiber and improve digestion
มันหวานญี่ปุ่นเป็นพืชชนิดที่เรานำส่วนของหัวมันมากิน ซึ่งจะเป็นแหล่งสะสมของสารอาหารและแป้ง อีกทั้งยังมีเส้นใยอาหารมากมาย มีส่วนช่วยกระตุ้นให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายของเราทำงานได้ดีขึ้น
The sweet Japanese potato is a source of nutrients and starch. Also, it is rich in fiber and helps stimulate digestion and excretory system to function better.
3. อุดมไปด้วยวิตามินเอและซี Rich source of vitamins A and C
ในมันหวานญี่ปุ่น 100 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 30 มิลลิกรัม หรือ คิดเป็น 30% ของมันญี่ปุ่น และมีความพิเศษอยู่ที่วิตามินซีจะเกาะอยู่กับตัวแป้งในเนื้อมันหวานทำให้เมื่อผ่านความร้อนทำให้สุกแล้วตัวของวิตามินจะไม่ละลายหายไพร้อมกับความร้อน อีกทั้งยังมีวิตามินเอสูง เพียงแค่เพื่อนๆ รับประทานมันหวานทุกวัน ก็สามารถรับวิตามินเอเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายใน 1 วันแล้ว การกินมันหวานที่อุดมไปด้วยวิตามินเอและซี จึงมีส่วนช่วยในการบำรุง
เรื่องสายตาและผิวพรรณได้ดี จึงไม่แปลกถ้าสายรักสุขภาพที่ทานมันหวานญี่ปุ่น จะมีผิวพรรณดี จากวิตามินซี
จากมันหวานคะ
100 g. of sweet potato contain up to 30 mg. of vitamin C where it is attached to the starch. Once it is cooked through the heat, the vitamin C will not dissolve. It also contains high vitamin A. You can get sufficient vitamin A daily if you only consume the sweet potato every day. The main benefits for consuming the sweet potatoes include nourishing eyesight and skin.
4. โพแทสเซียมสูง ส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและสมอง
High in potassium & boost brain and nervous system
ในมันหวานญี่ปุ่นมีปริมาณโพแทสเซียมสูงกว่าข้าวขาวถึง 18 เท่า ลดอาการบวมน้ำจากการขาดโพแทสเซียมได้ดี เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ยังมีส่วนช่วยเรื่องระบบประสาทและสมองให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคสมองเสื่อมอีกด้วยค่ะ
The sweet potato contains 18 times higher potassium than white rice. It helps reduce water retention from low potassium and is perfect for those on a diet. Besides, it promotes the nervous system and brain to function effectively as well as lower the risk of dementia.
5. เสริมสร้างระบบภูมิต้านทาน Strengthen immune system
ในมันหวานญี่ปุ่นยังอุดมไปด้วยวิตามินดีอีกด้วยค่ะ ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันและภูมิต้านทานในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น นอกจากนี้แล้วยังช่วยให้ร่างกายเรารู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสมอง ให้รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายอีกด้วยนะ
The sweet potato is abundant in vitamin D which makes you stay fresh and alert. Apart from that , it increases the efficiency of the brain function.
6. ขับสารพิษออกจากร่างกาย Detoxify your body
สารที่มีชื่อว่า “ยาราพิน” ในเปลือกของมันหวาน มีส่วนช่วยในการขับพิษออกจากร่างกายของเราผ่านทางลำไส้ แถมยังช่วยปกป้องพิษไม่ให้มารบกวนการทำงานของกระเพาะอาหารเราอีกด้วยค่ะ เพราะเหตุนี้เราจึงควรกินมันหวานเข้าไปทั้งเปลือก แต่ต้องทำความสะอาดเปลือกให้ดีก่อนนะคะ
“Yarapin” in sweet potato peel helps flush out toxins and cleanse your system through intestines. It also prevents the toxins from disturbing the stomach to function. For this reason, it is recommended to eat the unpeeled sweet potato but make sure you clean it well.
ข้อมูลอ้างอิง : Tops picks
พันธุ์มันหวานญี่ปุ่นที่นิยมสูงสุด
มันหวานญี่ปุ่น นับได้ว่าเป็นเมนูหลักอีกชนิดที่มักจะได้ยินจากคำบอกเล่าของผู้คนที่ได้เคยไปท่องเที่ยวยังประเทศแดนปลาดิบ เมื่อครั้งอดีตผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้คนที่เคยได้รับคำบอกเล่าที่ว่า “หากไปญี่ปุ่นอย่าลืมกินมันเผาให้ได้นะ มันอร่อยมาก!”แม้จะได้ยินดังนั้น แต่ผมเองก็ไม่เคยเชื่อว่ามันอร่อยจริง ในใจคิดเพียงว่าไม่น่าจะแตกต่างจากมันเทศบ้านเราสักเท่าไหร่เพราะยังไง..มันเทศ ก็คือ มันเทศ
หลายปีต่อมา ระหว่างเดินทางท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น ผมก็พบกับร้านมันเผาหน้าตาคล้ายซาเล้งแต่ประดับประดาไปด้วยโคมแดงและม่านตัวอักษรญี่ปุ่น ด้วยความคิดคาใจมาหลายปีจึงได้ลองอุดหนุนจากคุณลุงใจดีเจ้าของร้านแล้วลองทานดู แล้วก็เข้าใจได้ทันที รสหวานและเนื้อนุ่มเหนียวราวกับไม่ใช่มันเทศนี่เองที่ทำให้มันญีปุ่น แตกต่าง จากมันเทศในบ้านเรา และด้วยความติดใจจึงได้ศึกษาและพบว่ามันเทศญี่ปุ่นไม่ได้มีแค่สายพันธุ์เดียวแต่ยังมีแตกย่อยออกไปอีกนับสิบกว่าสายพันธุ์ แต่ในจำนวนทั้งหมดก็มีพันธุ์ที่โดดเด่น แม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็ตามซื้อตามจองกันเมื่อถึงฤดูกาลมันเผา เรามาทำความรู้จักมันหวานญี่ปุ่นสุดยอดสายพันธุ์ที่โด่งดังกันเลยดีกว่าครับ
.jpg)
เบนิ ฮารุกะ (Beni Haruka)
นับเป็นมันหวานญี่ปุ่นที่มีรสชาติหวานโดดเด่นที่สุดในบรรดามันหวานทั้งหมด ในประเทศญี่ปุ่นบางพื้นที่สามารถปลูกให้มีความหวานได้มากถึง 60องศาบริกซ์ เบนิฮารุกะได้รับการจดทะเบียนพันธุ์เมื่อเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2010 หลังจากมีการเปิดตัวและจำหน่ายได้ไม่นาน เบนิฮารุกะ ก็กลายเป็นมันที่ขายดีที่สุดในประเทศญี่ปุ่นและยังเป็นมันหวานที่ผู้ซื้อในประเทศไทยมองหามากที่สุดอีกด้วย
ลักษณะเนื้อของเบนิฮารุกะเป็นแบบ นุ่มหนึบและชุ่มฉ่ำ มีรสหวาน – หวานจัด
มันหวานญี่ปุ่นที่ Imokingth คือมันหวานญี่ปุ่นสายพันธุ์นี้ เพราะ ว่าเป็นสายพันธุ์ที่ อร่อย ได้รับความนิยมมากที่สุด
.jpg)
อันโนะ อิโมะ (Annou Imo)
เป็นมันหวานที่มียอดจำหน่ายสูงเป็นรองเบนิฮารุกะเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในประเทศญี่ปุ่น อันโนะอิโมะโด่งดังขึ้นมาจากกระแสของโลกอินเตอร์เน็ตหลังจากมีการรีวิวลักษณะเนื้อมันและรสชาติของมันหวานของบล็อคบล็อคหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น หลังจากนั้นอันโนะอิโมะก็กลายเป็นมันหวานที่หลาย ๆ คนชื่นชอบ
อันโนะ อิโมะ มีลักษณะเนื้อสีส้มอ่อน เหมาะสำหรับนำไปทำเป็นมันเผาหรือมันอบ ลักษณะเนื้อเหนียวนุ่มมีรสชาติหวานพอดี – หวานจัด อันโนะอิโมะมี 2 ลักษณะ คือ อันโนะ เบนิ ลักษณะสีเปลือกจะเป็นสีแดง เนื้อในสีส้มอ่อน และ อันโนะ โคกาเนะ ลักษณะสีเปลือกน้ำตาลครีม ส่วนเนื้อในสีส้มอ่อน ทั้ง 2 ลักษณะมีรสชาติและเนื้อเหมือนกัน ต่างเพียงแค่สีเปลือกเท่านั้น นอกจากนี้ อันโนะ โคกาเนะ ที่จำหน่ายโดย JA อิบุสึกิ จะใช้ชื่อว่า มารองโกล หรือ อันโนะ โคกาเนะ และส่วนที่จำหน่ายโดย JA ทาเนะกะชิมะ จะใช้ชื่อว่า อันโนะ โมมิจิ
.jpg)
ซิลสวีท (Silk Sweet)
มันหวานที่มีความโดดเด่นของสีเนื้อที่เมื่อสุกแล้วจะคล้ายกับรังไหม มีเปลือกสีแดงคล้ายคลึงกับเบนิฮารุกะ
มีรสหวาน – หวานจัด เนื้อเนียนนุ่ม ลักษณะที่ต่างออกไปจากเบนิฮารุกะคือเมื่อนำไปอบให้สุก เนื้อจะมีลักษณะชุ่มฉ่ำมากกว่าแทนที่จะออกนุ่มหนึบแบบเบนิฮารุกะ เป็นมันหวานญี่ปุ่น 2 พันธุ์ ที่แทบจะแยกกันไม่ออกเลยทีเดียว
ปัจจุบัน ซิลสวีท เป็นมันหวานญี่ปุ่นอีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีความนิยมค่อนข้างมากในประเทศไทยและยังนิยมปลูกค่อนข้างมากเกือบเทียบเท่าเบนิฮารุกะ
.jpg)
ม่วงโอกินาว่า (Okinawa Beni-imo)
มันหวานที่มีเนื้อสีม่วงเข้ม มีรสหวานพอดี เหมาะสำหรับนำไปแปรรูปเป็นผงหรือสกัดแอนโทไซยานิน ม่วงโอกินาว่าถือเป็นสีม่วงที่มีความนิยมและมีผู้สนใจปลูกค่อนข้างมากในประเทศไทย
.png)
ส้มโอกินาว่า (Okinawa-Kugani-Imo)
เป็นมันที่มีลักษณะเนื้อสีส้มเข้ม ปลูกง่ายที่สุดในบรรดามันหวานญี่ปุ่นทั้งหมด ให้หัวเร็วด้วยระยะเวลาเพียง 90 วัน มีรสหวาน – หวานปานกลาง เหมาะสำหรับนำไปทำเป็นไส้ขนม หรือ หรือทำเป็นมันนึ่ง ส้มโอกินาว่าเป็นมันญี่ปุ่นสีส้มที่มีความนิยมปลูกสูงมากในประเทศไทย
.jpg)
เบนิ อะสึมะ (Beni Azuma)
เป็นมันหวานญี่ปุ่นเนื้อสีเหลืองอีกชนิดที่มีความนิยมสูงในประเทศญี่ปุ่น ข้อดีของเบนิอะสึมะคือ น้ำหนักหัวดี หัวใหญ่ ปริมาณแป้งดีเยอะ หากเทียบผลผลิตกับ เบนิฮารุกะ หรือ ซิลสวีท แล้วถือว่ามีน้ำหนักของผลผลิตที่มากกว่า ต่างกันตรงลักษณะเนื้อ เบนิ อะสึมะ จะมีลักษณะเนื้อทีออกไปทางหยาบนุ่มคล้ายไส้ขนมเปี๊ยะถั่วเหลือง หากอบนาน ๆ เนื้อจะแห้งเป็นขุย แต่มีรสหวานที่พอดีและมากกว่าสีส้มและสีม่วง
.jpg)
เพอเพิ้ลสวีทลอร์ด (Purple Sweet Lord)
มันหวานญี่ปุ่นสีม่วงของทางฝั่งคันโต มีลักษณะสีม่วงอ่อน เนื้อฉ่ำปานกลางและมีรสหวานพอดี ข้อดีของเพอเพิ้ลสวีทลอร์ดคือลงหัวง่าย ปลูกง่ายดูแลง่าย โตไว ให้หัวเร็วและยังให้ผลผลิตสูงน้ำหนักดี ต่างจากม่วงโอกินาว่าเพียงสีสัน เพอเพิ้ลสวีทจะมีสีที่อ่อนกว่าและในบางครั้งเราอาจพบว่ามีสีเหลืองแซมเนื้อม่วงด้านในด้วยในบางครั้ง นั่นเป็นเพราะ เพอเพิ้ลสวีทเกิดจากลูกผสมของมันเนื้อสีเหลืองและสีม่วงนั่นเอง
.jpg)
ทาเนะกะ มุราซากิ / ทาเนะกะชิมะโกล (Tanega Murasaki / Tanegashima Gold)
มันหวานญี่ปุ่นที่มีลักษณะเปลือกสีขาวและเนื้อในสีม่วงอ่อน ๆ เนื้อสุกคล้ายครีม บางครั้งก็หยาบคล้ายไส้ขนมเปี๊ยะ
มีรสชาติหวานอ่อน ๆ เนื้อมีความมันเล็กน้อยทำให้ทานเพลิน เป็นมันหวานญี่ปุ่นที่กำลังมีชื่อเสียงและยังนิยมปลูกเพื่อทานสำหรับลดน้ำหนักอีกด้วย

ประโยชน์ดีๆจากมันหวานญี่ปุ่น
หลายคนคงเชื่อว่ามันหวานญี่ปุ่นทานแล้วคงทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเพราะมีรสหวานจัดแถมเนื้อมันยังเป็นแป้งนุ่มนิ่มยิ่งทานน้ำหนักคงยิ่งเพิ่มพูนอยู่แน่เลยใช่ไหม ?
ในตอนแรกผมเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน จนกระทั่งได้ไปพบกับบทความหนึ่งจากนิตยสารเกี่ยวกับสุภาพสตรีโดยเขียนขึ้นโดยคุณ Kishikawa Natsuki โดยมีหัวเรื่องว่า “มันเทศและความสวย”
“สมัยก่อนมักมีคำพูดที่ว่า 「คนที่ชอบกินมันเทศมักไม่รู้จักป่วย」แถมยังดีต่อระบบทางเดินอาหารและลำไส้ นับได้ว่าเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพแบบสุด ๆ นอกจากนี้ด้วยคุณค่าอาหารที่อัดแน่นอย่างเต็มเปี่ยม มันหวานญี่ปุ่น ยังถูกยกย่องให้เป็นสุดยอดแห่งอาหารอีกด้วย ไม่ว่าจะเรื่องของการช่วย Detox หรือช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส แถมยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชลอผิวให้อ่อนเยาว์ ปัจจุบันมันหวานถูกจับตามองจากดาราฮอลลีวูดที่รักเรื่องสุขภาพอย่าง มิแรนดา เคอร์ อีกด้วย !”
ทั้ง ๆ ที่มันหวานญี่ปุ่นนั้น รสชาติหวานแต่ค่า GI กลับต่ำ
มันหวาน ก็ ต้องหวาน หลายท่านคงนึกไปถึงการทานมันหวานมันต้องอ้วนอยู่เป็นแน่ แม้ว่าการทานมันหวานเข้าไปแล้วรู้สึกว่าอิ่มท้องนานจะทำให้รู้สึกว่าต้องอ้วนขึ้นแต่แท้จริงแล้วกลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะอันที่จริง มันหวานญี่ปุ่นเป็นอาหารที่มีค่า Glycemic index (GI) ต่ำ เราสามารถใช้ทานเพื่อลดน้ำหนักได้อย่างสบาย ๆ เพราะค่า GI ที่วัดได้จากมันหวานญี่ปุ่นนั้น ต่ำกว่า 55 เสียอีก !
Glycemic Index (GI) คือ ดัชนีที่ใช้ตรวจวัดคุณภาพของอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งหลังการย่อยและถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะสามารถเพิ่มระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดได้มากหรือน้อย โดยมีค่า GI ตั้งแต่ 0 ถึง 100 ข้าวสวยหรือข้าวขาวมีค่า GI = 98
รู้มั้ยว่า มันหวานญี่ปุ่น อัดแน่นไปด้วยวิตามินซี
อาจดูเหลือเชื่อ แต่มันเทศหรือมันหวานญี่ปุ่นใน 100g มี Vitamin C อยู่ถึง 30mg ซึ่งสูงพอ ๆ กับการต้องกินแอปเปิ้ลถึง 7 ลูก !! นอกจากนี้ วิตามินซี ที่อยู่ในมันหวานญี่ปุ่นจะยึดติดกับเนื้อแป้งที่ทำหน้าที่เหมือนกาวหนึบ แม้จะผ่านความร้อนวิตามันก็ไม่ถูกทำลายไปจนหมด นี่แหละข้อได้เปรียบของมันหวานญี่ปุ่นหละ
มันหวานญี่ปุ่น มี Anti-Aging & Vitamin E
ที่ใกล้ ๆ บริเวณผิวของมันหวานญี่ปุ่นหรือมันเทศมีสารประกอบที่เป็นตัวช่วยชลอความเสื่อมของผิวตามกาลเวลา (Anti-Aging) และยังมีคุณสมบัติต่อต้านสารอนุมูลอิสระอีกด้วย โดยเฉพาะมันม่วงญี่ปุ่นที่มีคุณสมบัติช่วยให้การทำงานของตับดีขึ้น นอกจากสารประกอบดังกล่าวแล้ว วิตามินอี เองเป็นสารอาหารที่มีไม่น้อยในมันหวานและยังช่วยบำรุงผิวพรรณให้ผ่องใส นับได้ว่าได้ทั้งประโยชน์ด้านสุขภาพและความสวยงามไปพร้อม ๆ กันเลยก็ว่าได้
มันหวานญี่ปุ่นช่วยลดน้ำหนักและอุดมไปด้วยโพแทสเซียม
มันหวานญี่ปุ่นมีโพแทสเซียมมากกว่าข้าวขาวถึง 18 เท่า จึงลดปัญหาเรื่องน้ำหนักที่บวมเป่ง และยังช่วยในเรื่องของความดันโลหิตต่ำอีกด้วย แต่เนื่องจากโพแทสเซียมมักศูนย์เสียได้ง่ายในตอนที่นำไปปรุงประกอบอาหาร ดังนั้นหากเรานำมันหวานญี่ปุ่นหรือมันเทศไปประกอบอาหารประเภทต้มแล้วละก็อย่าลืมซดน้ำตามกันหละ
YARAPIN & FIBER
Yarapin คือ สารอาหารที่มีเพียงในมันเทศเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น มีฤทธิ์ช่วยขับไล่พิษหรือของเสียในร่างกาย ช่วยปกป้องกระเพาะอาหาร และยังช่วยขับเคลื่อนของเสียภายในลำไส้ให้ออกมาได้ไวขึ้นอีกด้วย
Yarapin มีอยู่เพียงบริเวณใกล้ ๆ ของผิวมันเทศเท่านั้น หากต้องการให้ร่างกายได้รับสารนี้ ก็จำเป็นจะต้องทานให้หมดทั้งเปลือกนั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีเส้นใย หรือ Fiber ทั้งสองชนิดคือที่ไม่ละลายและละลายน้ำได้อยู่ จึงสามารถจัดสภาพแวดล้อมลำไส้เสียใหม่ได้อย่างดี ทำให้ลำไส้และท้องสะอาดปราศจากของเสียตกค้าง ส่งผลให้ผิวพรรณเปร่งปรั่งสวยพริ้งในที่สุด! ”
ข้อมูลอ้างอิง : BY NINESUAN
วิธีการกินมันหวานญี่ปุ่น
วิธีกินมันหวานให้ได้ค่า GI ต่ำที่สุดคือการนึ่ง แต่ถ้าอยากกินมันเผาแบบเฮลท์ตี้สูงสุด ต้องเอาไปแช่ตู้เย็น เพราะอุณหภูมิที่ต่ำลงจะทำให้ค่า GI ต่ำลงไปด้วยนั่นเอง
10 ความกรุบกริบของมันหวานญี่ปุ่น
‘Sweet Potato’ หรือมันหวานญี่ปุ่นที่ข้างนอกสีม่วงสดใส ข้างในสีเหลืองสดสวยจากประเทศญี่ปุ่น น่าจะเป็นของโปรดของใครหลายๆ คน ด้วยรสหวานฉ่ำหอมฉุยอันมีเอกลักษณ์แถมยังดีต่อสุขภาพ ยิ่งช่วงโควิดที่ทุกคนเก็บตัวอยู่บ้าน และแปลงร่างเป็นมาสเตอร์เชฟด้วยหม้อทอดไร้น้ำมัน มันหวานเป็นหนึ่งในวัตถุดิบยอดฮิตที่ชาวไทยสั่งไปอบกินเองที่บ้าน พลางร้องไฮ่ด้วยความคิดถึงแดนอาทิตย์อุทัย
ระหว่างที่กินน้องมันด้วยความเพลิดเพลิน เคยสงสัยมั้ยว่า ทำไมมันหวานญี่ปุ่นถึงอร่อยจับใจขนาดนั้น เคล็ดลับความหวานและเทคนิคลับในการปลูกคืออะไรกันนะ แล้วเวลาไปซื้อตามซูเปอร์มาร์เก็ตจะเลือกมันแบบไหนดี และนอกจากเผาเอาไปทำอะไรกินได้อีก เมื่อความตะกละและความอยากรู้อยากเห็นมารวมตัวกัน เลยออกมาเป็นเกร็ดความรู้กรุบกริบ 10 ข้อที่จะทำให้มันอร่อยขึ้นอีกหนึ่งเลเวล
ก่อนอื่นเลยต้องแอบกระซิบว่า มันหวานญี่ปุ่นไม่เท่ากับมันม่วงนะ แม้เปลือกภายนอกจะสีม่วงคล้ายกัน แต่มันหวานญี่ปุ่นและมันม่วงเป็นแค่เพื่อนร่วมสปีชีส์ และถ้าดูให้ดี เปลือกของมันหวานญี่ปุ่นจะออกไปทางม่วงแดง ในขณะที่มันม่วงจะม่วงมากทั้งภายนอกและภายใน
1. มันหวานญี่ปุ่น Beni-haruka + Silk Sweet มันหวานสุดป๊อปของญี่ปุ่น
เริ่มต้นด้วยความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสายพันธุ์มันหวานญี่ปุ่น ชาวยุ่นเขากินมันหวานมานานแสนนาน แต่ละท้องถิ่นก็ปลูกมันหวานแตกต่างกันไป ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ปัจจุบันมีมันหวานญี่ปุ่นหลายสิบสายพันธุ์ ทั้งแบบที่นำเข้ามาจากต่างประเทศตั้งแต่ยุคเอโดะ และพันธุ์ที่นำมาพัฒนาต่อเอง แต่ถ้าพูดถึงพันธุ์ป๊อปๆ ที่ครองใจชาวญี่ปุ่นช่วงนี้ล่ะก็ต้องเช่น Beni-haruka (หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Beni-yuka) และ Silk Sweet ซึ่งความหวานเข้มข้นและความนุ่มหนึบของเนื้อ เป็นจุดเด่นที่ทำให้ถูกปากทั้งเด็กและผู้ใหญ่
ถ้าใครยังไม่เคยลองกินมันหวานของญี่ปุ่น เดบิวต์ด้วย 2 พันธุ์นี้น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่หอมหวานทีเดียว แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าใครชอบทำอาหาร ขอแนะนำพันธุ์ Beni-masari ที่ทั้งหวานและหอม ซึ่งชาวญี่ปุ่นแอบกระซิบเรามาว่า เป็นที่นิยมไม่แพ้ 2 พันธุ์แรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่แฟนมันแท้และพี่ๆ เกษตรกรคนปลูก
2. นุ่มเนียน-นุ่มซุย-นุ่มหนึบ เนื้อสัมผัส 3 รูปแบบ
ความหนึบแน่นของเนื้อมันหวานญี่ปุ่นเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้กินเพลิน เคี้ยวสนุกจนหมดหัวไม่ทันรู้ตัว แต่จริงๆ แล้วมันหวานของชาวยุ่นมีหลายรสสัมผัสให้เลือก ซึ่งแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ แหล่งที่ปลูก และฤดูกาล ดินคือตัวแปรสำคัญที่สร้างรสสัมผัสและรสชาติที่มีเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น เช่น คิวชูจะมีย่านที่ดินมีขี้เถ้าผสมอยู่เยอะ ส่วนจังหวัดโทคุชิมะเป็นดินทราย
โดยทั่วไปแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคร่าวๆ คือ นุ่มเนียน นุ่มซุย และนุ่มหนึบ ตัวท็อปอย่าง Beni-haruka นั้นจัดอยู่ในหมวดนุ่มหนึบ Silk Sweet นุ่มเนียนละเอียดประดุจแพรไหมสมชื่อ Beni-azuma นุ่มซุย เหมาะไปทำเทมปุระ ส่วน Beni-masari จริงๆ แล้วจัดว่านุ่มเนียน เหมาะไปทำอาหารนานาชนิด
ชาวญี่ปุ่นมักเลือกมันที่เหมาะกับประเภทอาหาร เช่น ถ้าทำเทมปุระ มักใช้พวกที่นุ่มซุย ถ้าทำมันเผาก็เลือกแบบหนึบๆ หน่อย หรือจะลองไล่กินของดีแต่ละภูมิภาค เพื่อสำรวจรสชาติที่แตกต่างก็สนุกไปอีกแบบ ชอบแบบไหนก็กินแบบนั้นนั่นแหละ
3. วิธีเลือกมันหวานญี่ปุ่นที่ดีอย่างง่ายๆ
พอรู้แล้วว่าจะเลือกพันธุ์ไหนไปทำอะไร สเต็ปต่อไปคือการเลือกซื้อมันคุณภาพดี ที่เรามีหน้าที่แค่ทำให้สุกก็กินอร่อยแล้ว ถ้าเป็น 30 – 40 ปีก่อน ชาวญี่ปุ่นจะนิยมเลี่ยงมันหัวเล็กๆ ขนาดประมาณ 100 – 150 กรัม เพราะคิดว่าไม่ค่อยอร่อย แต่เทคนิคการปลูกและการพัฒนาสายพันธุ์ของเกษตรกร ทำให้ขนาดไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป หยิบไซส์ไหนก็อร่อยหวานเท่าเทียมกัน
ส่วนเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกนั้นสำคัญมาก ผิวมันควรเรียบเนียนสม่ำเสมอ รูปทรงโค้งสวยไม่หยิกงอแปลกๆ ผู้เชี่ยวชาญบอกเราว่า หากอยากได้มันที่รูปทรงสวย อวบเนียนเป็นท่อน ต้องเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมดิน เช่น ดินที่ไม่มีแมลง ไม่แข็งเกินไป แต่ถึงแม้ผิวมันจะมีรอยถลอกบ้าง แต่ความอร่อยก็ไม่เปลี่ยนแปลง
และเหนือสิ่งอื่นใด ถ้าสวยเนียนเกินไปจนไม่กล้ากิน เพราะคิดว่าใช้ปุ๋ยเคมีล่ะก็ ไม่ต้องกังวลไป พี่ๆ เกษตรกรชาวญี่ปุ่นจำนวนมากใช้ปุ๋ยอินทรีย์ผสมความใส่ใจเท่านั้นเอง
4. มันหวานญี่ปุ่นและฤดูกาลแห่งความอร่อย
สารภาพตามตรงว่า ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าความอร่อยของมันหวานญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์กับฤดูกาลด้วย (คนญี่ปุ่นส่วนมากก็ไม่รู้เหมือนกัน) เกษตรกรต้องเล็งจังหวะปลูกให้ตรงช่วงเก็บเกี่ยวที่เป็นช่วงพีกของความอร่อย และเตรียม Curing หรือการบ่มมัน เพื่อเพิ่มคุณภาพและยืดอายุน้องให้อยู่ได้นาน โดยคงไว้ซึ่งความอร่อย ทำให้เรามีมันหวานญี่ปุ่นกินตลอดปี
5. เมนูมันหวานญี่ปุ่นยอดฮิตในใจชาวญี่ปุ่น
คนไทยอาจจะคุ้นเคยกับมันเผาเป็นหลัก แต่จริงๆ แล้วมันหวานญี่ปุ่นเป็นส่วนประกอบอาหารญี่ปุ่นมากมายหลายรูปแบบ ทั้งของคาว ของหวาน และของเหลวอย่างสาเก!
ในบรรดาเมนูที่น้องได้แสดงศักยภาพความอร่อยจากความหวานธรรมชาติ มีหลายอย่างที่คิดว่าคนไทยทำกินตามได้ไม่ยากเลย เช่น นำไปทอดทำเทมปุระ หั่นใส่ซุปมิโสะ หรือจะทำของหวานยอดฮิตประจำช่วง Fall-Winter อย่าง Daigaku-imo ก็เก๋ เพียงแค่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ นำไปทอดแล้วคลุกไซรัปที่ทำจากน้ำตาล มิรินและโชยุก็เรียบร้อย ง่ายที่สุดคือเอามันเผาเข้าตู้เย็นก็อร่อยแล้ว หรือจะเอาเข้าช่องแข็ง ก็จะได้ไอศกรีมมันหวานอย่างง่ายๆ เลย คนญี่ปุ่นบอกว่าแนะนำ เพราะเหมาะกับอากาศร้อนแบบเมืองไทย
6.เทคนิคการอบมันญี่ปุ่นให้หวานฉ่ำกลมกล่อมใจ
โอเค ถ้ายังไม่พร้อมมูฟออนจากมันเผา เราก็แอบหาเคล็ดลับการอบมันญี่ปุ่นกินเองง่ายๆ ที่บ้านมาให้ด้วย คีย์เวิร์ดสำคัญคือ เวลา
ระยะเวลาขั้นต่ำในการอบคือ 1 ชั่วโมง เพราะการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลต้องใช้เวลา การใช้เวลาค่อยๆ อบจะช่วยดึงความหวานออกมา กลายเป็นที่มาเคล็ดลับความอร่อย ถ้าอบไวๆ มันยังไม่ทันเป็นน้ำตาล อาจจะนิ่มแต่ไม่หวานอร่อย ส่วนอุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 180 – 200 องศาเซลเซียส และไม่ควรใช้ไฟแรงเกิน 200 องศาเซลเซียส อุปกรณ์ก็เลือกได้ตามสะดวก ทั้งเตาอบหรือหม้อทอดไร้น้ำมัน เวลาที่ใช้ก็จะแตกต่างกันไปตามขนาดของหัวมัน
7. มันหวานญี่ปุ่น สุขภาพ และค่า GI
หลายคนหันมาสนใจมันหวานญี่ปุ่นเพราะดีต่อสุขภาพ ว่ากันว่ากินแล้วไม่อ้วน เก๋สุดในหมู่แก๊งเพื่อนมัน แถมยังมีไฟเบอร์ วิตามินเอ วิตามินซี และโพแทสเซียมสูง ช่วยกระตุ้นการย่อยอาหารและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันอีกต่างหาก แสนดีขนาดนี้แต่คนญี่ปุ่นก็ยังสรรหาวิธีกินมันหวานแบบส่งเสริมสุขภาพให้ดียิ่งขึ้นไปอีก นั่นคือการทำให้ค่า
GI มันหวานต่ำลง
ก่อนอื่นต้องทำความรู้จักค่า GI (Glycemic Index) นี้กันก่อน มันหวานญี่ปุ่นคือหน่วยวัดคาร์โบไฮเดรตต่อน้ำตาลในเลือด ค่า GI สูง คือการที่คาร์โบไฮเดรตเปลี่ยนเป็นกลูโคส และเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตอย่างรวดเร็ว ส่วนค่า GI ต่ำ คือการแตกตัวช้าๆ ทำให้กลูโคสเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ
วิธีกินมันหวานญี่ปุ่นให้ได้ค่า GI ต่ำที่สุดคือการนึ่ง แต่ถ้าอยากกินมันเผาแบบเฮลท์ตี้สูงสุด ต้องเอาไปแช่ตู้เย็น เพราะอุณหภูมิที่ต่ำลงจะทำให้ค่า GI ต่ำลงไปด้วยนั่นเอง
8. ความใส่ใจของเกษตรกรแบบเวรี่เจแปนนีส
แม้มันหวานญี่ปุ่นจะเป็นผักที่แข็งแกร่ง ขึ้นง่าย ปลูกง่าย เลยเป็นที่นิยมปลูกแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ดินไม่ดี ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้นมาตั้งแต่สมัยเอโดะ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าแค่จับน้องลงดินก็ได้มันญี่ปุ่นหวานๆ อย่างที่เราชื่นชอบ การเตรียมดินสำคัญมากกับคุณภาพของมันหวานญี่ปุ่น รวมไปถึงการเตรียมปุ๋ยและชนิดพืชที่ปลูกก่อนปลูกมัน ล้วนส่งผลต่อคุณภาพทั้งสิ้น
น้องมันหวานญี่ปุ่นชอบดินแห้งที่ถ่ายเทอากาศได้ดี มีแสงสว่างส่องถึง โดยทั่วไปก่อนเริ่มปลูก 10 วัน เกษตรกรจะพรวนดินเตรียมแปลงเพาะปลูกกว้างประมาณ 45 เซนติเมตร สูง 20 – 30 เซนติเมตร แบบที่ระบายน้ำได้ดี จะได้ไม่ถูกกักเก็บไว้ในดินมากจนเกินไป และต้องคอยกำจัดวัชพืชระหว่างรอน้องโต ยิ่งปลูกได้แค่ปีละครั้ง เกษตรกรในแต่ละท้องถิ่นเลยทำวิจัยศึกษาเรื่องดินอย่างจริงจังเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีที่สุด ถ้าลองชิมมันหวานญี่ปุ่นที่ปลูกแบบเตรียมดินกับไม่ได้เตรียม จะสัมผัสความแตกต่างรสชาติได้ชัดเจน
9.Curing เทคนิคพิเศษจากภูมิปัญญาของเกษตรกรญี่ปุ่น
Curing คืออีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพของมันหวานญี่ปุ่น ซึ่งเกษตรกรแต่ละแห่งต้องใส่ใจรายละเอียดสูงมาก เป็นการบ่มมันหวานญี่ปุ่นด้วยความร้อนและความชื้นสูง ก่อนนำไปเก็บรักษาไว้ในโรงเก็บที่อุณภูมิต่ำประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ อธิบายง่ายๆ คือการพาน้องเข้าซาวน่าอบไอน้ำ การทำ Curing จะช่วยให้รอบๆ มันหวานญี่ปุ่นมีบาเรียปกป้องหัวมัน ทำให้ไม่เหม็นง่าย รสชาติดีขึ้น เก็บได้นานขึ้น เรียกได้ว่าอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดพร้อมส่งออกถึงมือผู้บริโภค
จริงๆ แล้ว Curing ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นวิธีที่มักใช้กับการเพิ่มคุณภาพเมล็ดพันธุ์พืช แต่เกษตรกรญี่ปุ่นนำมาประยุกต์ใช้กับมันหวานญี่ปุ่นเพื่อเพิ่มคุณภาพขึ้นไปอีก ความยุ่งยากของ Curing คือ สูตรเดียวกัน (อุณหภูมิ ระยะเวลา ฯลฯ) ใช้ไม่ได้ผลกับทุกที่ เกษตรกรต่างมีสูตรลับที่ค้นคว้ามาให้เหมาะกับไร่ตนเอง เพราะสายพันธุ์ ดิน อากาศ ส่งผลต่อวิธีการบ่มที่ต่างกันไป และแต่ละปีก็อาจจะใช้วิธีเดิมไม่ได้ ต้องค่อยๆ สังเกตและทดลองทำไป ความหวานและคุณภาพของมันจึงเรียกได้ว่าเกิดจากความทุ่มเทและภูมิปัญญาเกษตรกรญี่ปุ่นอย่างแท้จริง
10. มันหวานญี่ปุ่นที่ดี คือ…
ผู้เชี่ยวชาญด้านมันหวานญี่ปุ่นบอกเราว่า จุดเด่นของมันหวานญี่ปุ่นก็คือ รสชาติหรือความหวานนั่นแหละ
มันหวานอาจจะมีปลูกในหลายประเทศ แต่อาจจะเรียกว่ามันหวานได้ไม่เต็มปากด้วยซ้ำ เพราะรสจืดมาก แทบไม่ต่างจากมันสำปะหลัง แต่มันหวานของญี่ปุ่น นอกจากหวานจริง ยังเป็นความหวานที่มีมิติและซับซ้อน แฟนมัน (หวาน) แท้ในญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เขายกตัวอย่างว่าน้ำตาลมีหลายชนิด เช่น ฟรุกโตส กลูโคส ความหวานเองก็มีหลายแบบ น้ำตาลมอลโทสที่พบในมันหวาน (แต่ไม่พบในมันสำปะหลังและมันม่วง) เป็นความหวานฉ่ำที่มีมิติ ทำให้ตอนกินรู้สึกอร่อยฟิน ไม่เบื่อ
และที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ความทุ่มเทของเกษตรกรตั้งแต่การเตรียมดินจนถึงการบ่ม ถูกผสมผสานเป็นส่วนหนึ่งของรสชาติด้วยเช่นกัน
ข้อมูลอ้างอิง : https : //readthecloud.co
เบนนิฮารุกะ มันญี่ปุ่นเนื้อสีเหลือง รสหวานแสนอร่อย
(Beni Haruka) หากเอ่ยถึงชื่อมันญี่ปุ่นสายพันธุ์นี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก มันเป็นมันญี่ปุ่นที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในประเทศญี่ปุ่นและยังเป็นที่นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายอีกด้วย แน่นอนในประเทศไทยเองก็เริ่มเป็นที่รู้จักและกำลังกลายเป็นที่นิยมเพิ่มสูงขึ้น ๆ ในแต่ละปี
ทำไม เบนิฮารุกะ ถึงได้รับความนิยมและมียอดจำหน่ายพุ่งสูงขึ้นในระยะเวลาอันสั้นได้ อาจเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย เราจะไปหาคำตอบของคำถามที่คาใจนี้กัน แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับมันญี่ปุ่นสายพันธุ์เบนิฮารุกะนี้กันก่อนดีกว่า
เบนิฮารุกะ (Beni Haruka) นับได้ว่าเป็นมันญี่ปุ่นอีกชนิดที่มีผิวลักษณะภายนอกสีแดงคล้ายใบเมเปิ้ลยามเปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงสวยงามและยังมีสีสันภายในออกขาวเหลืองในตอนที่เก็บเกี่ยวใหม่แต่สีเหลืองของเนื้อจะมีลักษณะเข้มขึ้นหากนำไปผึ่งทิ้งไว้หลังเก็บเกี่ยวเกินหนึ่งสัปดาห์ สีสันที่สวยงามของมันนี้ได้มาจากพ่อพันธุ์ที่ชื่อ ฮารุ โคกาเนะ (Haru Kogane) และลักษณะรูปลักษณ์ที่กลมมนสวยงามนั้นได้มาจากแม่พันธุ์ที่ชื่อ คิวชูเบอร์ 121 คู่ผสมนี้ถูกจับคู่และพัฒนาสายพันธุ์แห่งแรกที่ศูนย์วิจัยการเกษตรคิวชูโอกินาว่าและที่มาของชื่อ ฮารุกะ นั้นเกิดจากรสสัมผัสและรูปร่างภายนอกที่ “ห่าง” จนโดดเด่นเหนือกว่าพันธุ์อื่น ๆ นั่นเอง

คำว่า Haruka ในภาษาญี่ปุ่นแปลได้ว่า “ห่าง, หรือระยะที่ห่างออกไป” เป็นการใช้คำที่ต้องการบอกถึงมันชนิดนี้มีความโดดเด่นที่ห่างชั้นกับมันเทศชนิดอื่น ๆ ส่วนคำว่า Beni หมายถึงสีสันที่ออกโทนแดงฉูดฉาด ซึ่งในที่นี้หมายถึงสีเปลือกที่ออกโทนแดง
เบนิฮารุกะ ถูกจดทะเบียนชื่อพันธุ์เมื่อปี ค.ศ. 2010 ในครั้งที่เบนิฮารุกะออกจำหน่ายแรก ๆ นั้นผู้บริโภคในประเทศญี่ปุ่นยังยึดติดและให้ความสำคัญกับมันญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงมายาวนานอย่าง เบนิอาสึมะ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ปีเบนิฮารุกะก็สามารถคว่ำแช้มและกลายมาเป็นมันเทศที่ชาวญี่ปุ่นหลายคนถามถึง มีการเขียนรีวิวไว้ในอินเตอร์เน็ตมากมายและไม่กี่ปีมานี้เบนิฮารุกะก็กลายเป็นมันเทศญี่ปุ่นที่ถูกปลูกมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น จากเดิมที่เป็น เบนิอาสึมะ และ นารุโตะคิงโตคิ หลาย ๆ แหล่งเพาะปลูกต่างสร้างความแตกต่างให้กับเบนิฮารุกะของตนเองด้วยการใส่สูตรบำรุงและปรับปรุงพื้นดินให้ร่วนซุย บางสวนสามารถทำความหวานให้เบนิฮารุกะได้มากกว่า 40 องศาบริกซ์ นับได้ว่าเป็นรสที่นักทานหวานหลายคนทานแล้วต้องยิ้มจนแก้มปริเลยทีเดียว
ในประเทศไทยเบนิฮารุกะอาจเป็นที่รู้จักครั้งแรกเมื่อมีการนำเข้ามันญี่ปุ่นชนิดนี้เข้ามาจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่าง TOP Supermarket หรือ Central Festival ภายใต้ชื่อร้าน “อิโมะคิง” ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามและเป็นมันเทศคัดเกรดอย่างดี กลิ่นหอมเย้ายวนยามเมื่อเดินเข้าห้างสรรพสินค้าอาจยากที่จะหักห้ามใจที่จะลิ้มลอง
ปัจจุบันเบนิฮารุกะเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในประเทศไทยรวมไปถึงความต้องการในตลาดเองก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน สำหรับผู้ปลูกแล้วนั้นถึงแม้การปลูกมันเทศญี่ปุ่นจะทำได้ไม่ยากนักแต่ทว่าการปลูก เบนิฮารุกะ หรือพันธุ์อื่น ๆ ให้มีรสหวานฉ่ำแบบต้นฉบับของญี่ปุ่นนั้นกลับท้าทายยิ่งกว่า แต่หากเรา นักปลูกยังคงทุ่มเทไม่ย่อท้อผมเชื่อว่าอีกไม่นานเราจะได้มันญี่ปุ่นที่มีรสหวานเทียบเคียงไม่แตกต่างจากต้นฉบับอย่างแน่นอน